กลยุทธ์มัลติคลาวด์ถูกเติมเต็มโดยคอนเทนเนอร์ Kubernetes และการประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์
การประมวลผลแบบคลาวด์ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานสำหรับการขับเคลื่อนการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล และการปรับปรุงระบบไอทีให้มีความทันสมัย บริษัทต่างๆ กำลังหาทางเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจหรือประหยัดต้นทุนด้วยการเช่าซอฟต์แวร์จากผู้ให้บริการอย่างเช่น อะมาซอนเว็บเซอร์วิส (AWS), ไมโครซอฟท์ และกูเกิ้ล
ฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ชเผยว่า ความจริงองค์กรส่วนใหญ่ซื้อบริการคลาวด์จากผู้ค้ามากกว่าหนึ่งรายขึ้นไปอยู่แล้ว และแนวโน้มดังกล่าวจะมากขึ้นในปี 2562 ซึ่งนี้จะทำให้ AWS ไมโครซอฟตท์ อาลีบาบา กูเกิ้ล ไอบีเอ็ม และออราเคิลจะได้ส่วนแบ่งจากค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์สาธารณะทั่วโลกในปี พ. ศ. 2562 ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น
แม้จะมีข้อกำหนดที่เข้มงวดของกฎระเบียบคุ้มครองข้อมูลทั่วไปของสหภาพยุโรป (GDPR) แต่การขยายตัวของระบบคลาวด์ก็ยังไม่ชะลอตัวเนื่องจากผู้ให้บริการคลาวด์จะขยายพอร์ตการบริการและธุรกิจออกไปทั่วโลก
เดฟ บาร์โตเลตติ นักวิเคราะห์จากฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ช เผยว่า การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีหน้าแทนที่จะเป็นการให้บริการเซิร์ฟเวอร์และหน่วยจัดเก็บข้อมูลชั่วคราวราคาถูกบนคลาวด์ แต่จะเป็นการนำเสนอบริการด้านการพัฒนาที่ล้ำหน้าสำหรับแอพพลิเคชันระดับองค์กร
ตัวอย่างเช่น บริษัทต่างไม่ต้องการมองหากลยุทธ์ทางด้านคลาวด์ที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป แต่ต้องการรู้ว่าคู่แข่งของพวกเขาทำอะไรกับคลาวด์สาธารณะ พวกเขาสร้างระบบวิเคราะห์การตลาดหรือไม่? พวกเขากำลังสร้างแอป IoT หรือไม่? มีวิธีการอย่างไร และทำกับใคร? บาร์โตเลตติ กล่าวว่าสิ่งที่องค์กรต่างๆ กำลังพูดคุยกันเกี่ยวข้องกับการย้ายข้อมูลที่สร้างขึ้นใน
แอพพลิเคชันหลักขององค์กรจากเอสเอพี และออราเคิลไปสู่ระบบคลาวด์สาธารณะ
แนวทางการแสวงหานวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการปรับการใช้จ่ายขององค์กรเนื่องจากบริษัทต่างๆ มีการปรับปรุงแอพพลิเคชันทางธุรกิจหลักให้มีความทันสมัยด้วยการใช้การวิเคราะห์ การเรียนรู้ของเครื่อง (ML), IoT การรับส่งข้อความและบริการฐานข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นในคลาวด์ บาร์โตเลตติ กล่าวว่า “ในปี 2562 การประมวลผลแบบคลาวด์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นซอฟต์แวร์ที่น่าทึ่งได้เร็วขึ้น
ต่อไปนี้คือแนวโน้มสำคัญของการปรับใช้ระบบคลาวด์ในปีพ. ศ. 2562
- กลยุทธ์มัลติคลาวด์มาแรง
เมื่อพูดถึงคลาวด์สาธารณะ State Farm กำลังเล่นเกมยาวๆ ในขณะที่องค์กรส่วนใหญ่ใช้ซอฟต์แวร์เช่ากันไปแล้ว แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าบริษัทประกันภัยแห่งนี้จะย้ายแอพพลิเคชันหลักสองชุดแรกไปยังระบบคลาวด์สาธารณะ
เช่นเดียวกับบริษัทส่วนใหญ่ State Farm จะรวบรวมซอฟต์แวร์คลาวด์สาธารณะจากผู้ค้าหลายๆ ราย แอชลีย์ เพ็ตทิท รองประธานอาวุโสฝ่ายไอทีของ State Farm เปิดเผยว่า State Farm ซึ่งจากเครื่องเมนเฟรม และเซิร์ฟเวอร์แบบเก่ากำลังย้ายโมไบล์แอพพลิเคชัน Drive Safe & Save ไปยัง AWS ในปีนี้ และวางแผนที่จะย้ายซอฟต์แวร์สำหรับการกำหนดราคาและรูปแบบการรับประกันในต้นปีหน้า ในขณะที่ AWS เป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์รายหลักของ State Farm แต่ก็ยังทำงานร่วมกับ Microsoft Azure และ Google Cloud Platform เพื่อให้มีตัวเลือกที่หลากหลาย
การเลือกระบบคลาวด์ที่หลากหลายกลายเป็นเรื่องปกติ อย่างฮันนี่เวลล์ใช้ IBM และ Microsoft Azure ขณะเจนเนอรัลอิเล็ก
ทริกส์ใช้บริการ AWS และ Azure เพ็ตทิท กล่าวว่าสำหรับ State Farm การย้ายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้กับคลาวด์โดยเฉพาะ ตลอดจนเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นในการเขียนซอฟต์แวร์ในอนาคต
- นวัตกรรมในระบบคลาวด์
ต้องยกความดีให้กับคอนเทนเนอร์อย่าง Kubernetes และการประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ ที่ทำให้การใช้งานแอพพลิเคชันองค์กรหลักๆ เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการปรับใช้คอนเทนเนอร์ Docker เพิ่มขึ้นเนื่องจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์ขององค์กรมีการปรับใช้แอพพลิเคชันที่ทันสมัยขึ้น บาร์โตเลตติเผยว่า Kubernetes ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การปรับใช้ การปรับขนาดและการจัดการคอนเทนเนอร์เป็นไปโดยอัตโนมัติได้กลายเป็นทางเลือกในการจัดระเบียบข้อมูลขององค์กร ในปีพ. ศ. 2562 Kubernetes จะสามารถปรับขนาดและความปลอดภัยได้ง่ายขึ้นโดยผู้ขายจะนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ สำหรับการประสานนโยบายด้านความปลอดภัยโดยใช้ API เป็นตัวขับเคลื่อน
รูปแบบการใช้งานระบบประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทต่างๆ ต้องการที่จะขยายบริการและแอพพลิเคชันแบบดิจิทัล ในการประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ ลูกค้าสามารถพัฒนา เรียกใช้งาน และจัดการแอพพลิเคชันต่างๆ ได้โดยไม่ต้องสร้างและดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ในการรันระบบงาน โดยระบบจะมี API เพื่อเชื่อมโยงฟังก์ชันกับ อีเวนท์บางอย่าง เช่น เพื่อช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์ IoT ซึ่งคาดว่า AWS, Microsoft, Google และผู้ให้บริการระบบคลาวด์รายอื่นๆ จะเพิ่มการให้บริการสำหรับการประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า function-as-a-service (FaaS)
บาร์โตเลตติ กล่าวว่า การประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์กับคอนเทนเนอร์ และ Kubernetes จะเป็นรากฐานสำหรับการปรับปรุงแอพพลิเคชั่นธุรกิจหลักๆ ในอนาคต คลาวด์ทั้งหมดจะกลายเป็นระบบไร้เซิร์ฟเวอร์
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่ากว่าร้อยละ 20 ขององค์กรทั่วโลกจะใช้เทคโนโลยีการประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ยภายในปีพ.ศ. 2563 เพิ่มขึ้นจากในปัจจุบันที่มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
- คลาวด์ส่วนตัวแบบใหม่
บาร์โตเลตติเผยถึง 3 แนวทางหลักที่ทำให้ระบบคลาวด์ยังมีอนาคตที่สดใสในปี 2562 ซึ่งเขามองว่าคลาวด์ส่วนตัวเป็นแพลตฟอร์มสำหรับโฮสติ้งเวิร์กโหลดซึ่งไม่เหมาะกับระบบคลาวด์สาธารณะเพราะมีปัญหาด้านต้นทุน ความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อมูล การออกแบบสถาปัตยกรรม หรือเหตุผลอื่นๆ
แนวทางแรกคือการสร้างระบบคลาวด์ขึ้นมาด้วยตัวเอง (DIY) ทำให้เกิดการใช้ VMware vSphere และโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นแนวทางที่ธนาคารอย่าง Synchrony ใช้อยู่ แต่บาร์โตเลตติมองว่าระบบคลาวด์ที่สร้างขึ้นตามแนวทางนี้มีแนวโน้มที่จะมีราคาแพง ซับซ้อนและไม่สมบูรณ์ รูปแบบ DIY ที่เป็นทางเลือกแบบอื่นเป็นการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส OpenStack แนวทางที่สามเป็นระบบคลาวด์ที่ผู้ค้าสร้างขึ้นมาสำหรับองค์กรของคุณโดยเฉพาะโดยใช้ชุดซอฟต์แวร์แบบรวมหรือแบบไฮเปอร์คอนเวอร์เจนเพื่อลดภาระด้านเทคโนโลยีของคุณ
- ปรับกลยุทธ์ด้าน PaaS
ในปี 2562 องค์กรขนาดใหญ่จะวางกลยุทธ์ด้านพลตฟอร์มที่อยู่ในรูปแบบบริการ (PaaS) ของพวกเขาเพื่อยกระดับประสบการณ์ในการใช้งานของผู้ใช้ให้เกิดความสมดุลในทุกช่วงการใช้งาน บาร์โตเลตติกล่าว เขาตั้งข้อสังเกตว่าองค์กรขนาดใหญ่จะได้รับประสบการณ์ที่ดีในระยะแรกซึ่งรวมถึงการสร้าง และปรับใช้แอพพลิเคชั่น และต้องปรับปรุงประสบการณ์ในการควบคุมแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชันที่ใช้งานในระยะต่อมาให้ดีขึ้น
บาร์โตเลตติกล่าวว่าแต่ละองค์กรจะตัดสินใจว่าจะใช้ประโยชน์จาก PaaS ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์เฉพาะรายหรือมุ่งเน้นที่ความเป็นกลางของคลาวด์ บางองค์กรจะแสวงหาสิ่งที่เป็นนามธรรมจากคลาวด์รายใดรายหนึ่งในขณะรอให้บริการเพิ่มมูลค่าที่ไม่ขึ้นกับผู้ค้าอย่างเช่น Kubernetes และ TensorFlow อยู่ตัว และทำงานได้ง่ายขึ้นจากทุกที่ บาร์โตเลตติแนะซีอีโอให้เลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่ง แต่ต้องพร้อมที่จะประเมินวิธีการดังกล่าวอยู่เสมอ
- ระบบนิเวศ SaaS จะเพิ่มขึ้น
บาร์โตเลตติกล่าวว่่าในปี 2561 ผู้ค้า SaaS มีความเคลื่อนไหวด้านการรวมระบบเพิ่มมากขึ้นผ่านการเข้าซื้กิจการเช่นการที่ Salesforce ซื้อกิจการของผู้ค้าซอฟต์แวร์ด้านการจัดการ API อย่าง MuleSoft และการเสนอราคา Workday เพื่อปลดล็อกแพลตฟอร์มของคตนเอง ในปี 2562 คาดว่าจะมีระบบนิเวศน์ทางอุตสาหกรรมแบบ SaaS ที่ผสานเข้าด้วยกันจะได้รับแรงผลักดันจากซอฟต์แวร์ระดับองค์กร อย่าง Microsoft, Oracle และ SAP ตัวอย่างแรกๆ จะมาจากอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานซึ่งองค์กรต่างๆ จำเป็นต้องการมีการแบ่งปันข้อมูลและทำงานร่วมกัน เช่นอุตสาหกรรมการผลิต การดูแลสุขภาพ และภาครัฐบาล