Skip to content
การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) หรือที่เรียกว่าการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่คำพูดที่ดูดี แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจและองค์กรที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการผสานแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบไปจนถึงการกำจัดผลิตภัณฑ์หลังการใช้งาน
การจัดซื้อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหมายถึงการเลือกผลิตภัณฑ์และบริการที่:
✅ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ช่วยลดของเสีย อนุรักษ์ทรัพยากร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
✅ ส่งเสริมแนวทางที่ยั่งยืน: สนับสนุนซัพพลายเออร์ที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
✅ คำนึงถึงวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์: ประเมินผลกระทบของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงกระบวนการกำจัด
ทำไมการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจึงสำคัญ?
🌍 ปกป้องสิ่งแวดล้อม: ลดมลพิษ อนุรักษ์ทรัพยากร และช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
💰 ประหยัดค่าใช้จ่าย: แนวทางที่ยั่งยืนช่วยลดต้นทุนระยะยาวผ่านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการจัดการของเสียที่ดีขึ้น
🏆 เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์: การแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีของลูกค้า
📜 ปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและหลีกเลี่ยงค่าปรับ
🔗 เพิ่มความแข็งแกร่งของซัพพลายเชน: การสนับสนุนซัพพลายเออร์ที่ยั่งยืนช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและมีความรับผิดชอบมากขึ้น
วิธีเริ่มต้นนำแนวคิดการจัดซื้อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปใช้
📌 กำหนดนโยบายการจัดซื้อสีเขียว: วางเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการจัดซื้อที่ยั่งยืน
📌 ประเมินซัพพลายเออร์: เลือกซัพพลายเออร์ที่มีประวัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี
📌 เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: เลือกสินค้าที่ได้รับการรับรอง เช่น Energy Star, FSC หรือ Cradle to Cradle
📌 ลดของเสีย: ใช้กลยุทธ์รีไซเคิล นำกลับมาใช้ใหม่ และลดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น
📌 วัดผลและรายงาน: ติดตามความคืบหน้าและแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของโครงการจัดซื้อสีเขียว
ด้วยการนำแนวคิดการจัดซื้อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ องค์กรสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้ในทุกๆ การซื้อ ไม่ใช่แค่การทำเพื่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำธุรกิจอย่างชาญฉลาดอีกด้วย