ข้อมูลเชิงลึกในรายงานของเคอร์นี่ให้อะไรกับผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อ

ส่วนงานด้านการจัดซื้อของบริษัทชั้นนำกำลังได้รับผลกระทบที่รุนแรงต่อผลกำไรและกระบวนการทางธุรกิจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตามรายงานในหัวข้อ Realizing the Power of Procurement  ของเอ.ที. เคอร์นี่ระบุว่าร้อยละ 90 ของหัวหน้าผู้บริหารฝ่ายการเงินกล่าวว่าทุกวันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดซื้อได้เข้ามามีบทบาทในที่ประชุมผู้บริหารเพิ่มขึ้น และหนึ่งในสามยังกล่าวว่าเข้าใจที่ถึงประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อเป็นอย่างดี

รายงานกล่าวว่าผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อยังคง “ต้องแสดงให้ผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่าพวกเขาเข้าใจความต้องการทางธุรกิจภายใน และพวกเขาต้องสื่อสารว่าการจัดซื้อที่ล้ำสมัยนั้นเป็นมากกว่าการประหยัดต้นทุน”

ผลลัพธ์จากการสำรวจบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของทีมงานจัดซื้อในองค์กรชั้นนำกับทีมงานจัดซื้อที่ไม่อยู่ในองค์กรชั้นนำว่าเป็นอย่างไรในหลายๆ ด้านที่สำคัญ เช่น การปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียน ปรับปรุงความสามารถในการมองเห็นการใช้จ่าย การจัดการซัพพลายเออร์ การวิเคราะห์ และแม้แต่การจัดการบุคลากร

ข้อมูลดังกล่าวมาจากผู้ตอบแบบสำรวจการประเมินความเป็นเลิศด้านการจัดซื้อ (Assessment of Excellence in Procurement) ประจำปีของเคอร์นี่ ซึ่งใช้ในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้นำ และผลกระทบต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ โดยเป็นการประเมินผลจากคำตอบของผู้บริหารด้านการจัดซื้อมากกว่า 150 ราย ซึ่งร้อยละ 39 อยู่ในอเมริกา ร้อยละ 53 อยู่ในยุโรปและตะวันออกกลาง และที่เหลืออีกร้อยละ  8 อยู่ในเอเชียแปซิฟิก หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมบริการ ร้อยละ 28 มาจากธุรกิจด้านการบริโภคและค้าปลีก  โดยมีการแบ่งระหว่างอุตสาหกรรมการผลิตแบบต่อเนื่อง และการผลิตชิ้นส่วนอย่างสมดุล

ฝ่ายจัดซื้อต้องมีบทบาทมากกว่าเดิม

ที่องค์กรชั้นนำ ระบุว่าร้อยละ 90 ของโครงการจัดซื้อมีผลกระทบสูงต่อการปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียน และร้อยละ 70 มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานเมื่อเทียบกันเพียงร้อยละ 32 และ 26 ที่รายงานว่ามีผลกระทบสูงในด้านอื่นๆ  ที่ดีที่สุด ทุกองค์กรจัดซื้อกำลังทำตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในส่วนสำคัญของการสร้างความเป็นเลิศด้านทีมจัดซื้อ ประเภทการจัดซื้อ และซัพพลายเออร์ รายงานยังระบุว่าองค์กรของตนเองได้รับรับผลตอบแทนของการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 เท่าจากฝ่ายจัดซื้อเมื่อเทียบกับองค์กรขนาดกลาง และมากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับองค์กรขนาดเล็กที่มีอยู่ร้อยละ 25

แผนกจัดซื้อระดับโลกมีบทบาทมากกว่าการจัดซื้อแบบเก่า ในขณะเดียวกันก็มีการใช้แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดกับการทำงานหลักๆ ของพวกเขา และบูรณาการความรู้ด้านการวิเคราะห์ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อจะเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมการแข่งขันในตลาดระหว่างซัพพลายเออร์ของพวกเขา

ความสามารถในการมองเห็นการใช้จ่าย

เอ.ที. เคอร์นี่พบว่ามีบริษัทที่ไม่เป็นผู้นำเพียงร้อยละ 9 ที่มีการพัฒนากลยุทธ์ที่สำคัญทางการใช้จ่ายเป็นระยะเวลาหลายปี เมื่อเทียบกับบริษัทชั้นนำด้านการจัดซื้อที่มีถึงร้อยละ 80 และบริษัทชั้นนำเหล่านี้สามารถมองเห็นการใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ถึงร้อยละ 80 ซึ่งเทียบกับบริษัทที่ไม่เป็นผู้นำมีเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น นอกจากนี้ เอ.ที. เคอร์นี่ ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการก้าวข้ามการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม  Excel ไปใช้ซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ขั้นสูงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจถึงค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน

ศักยภาพด้านการจัดการซัพพลายเออร์

เอ.ที. เคอร์นี่สะท้อนให้เห็นถึงผลการสังเกตบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดซื้อในองค์กรชั้นนำที่มีการจัดการซัพพลายเออร์ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการประหยัดค่าใช้จ่าย และลดความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรมได้ดีที่สุด

กุญแจสำคัญในการปลดล็อคคุณค่านี้ก็คือกลยุทธ์ ความคิดริเริ่มในระยะยาวร่วมกับซัพพลายเออร์ที่สนับสนุนการจัดการความเสี่ยง และสนับสนุนนวัตกรรมที่ถูกกำหนดไว้ในกระบวนการจัดการความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพ  โปรแกรมจัดการความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ (SRM) นั้นถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในบบรรดาผู้นำด้านการจัดซื้อ และมากกว่าร้อยละ 70 มีการแยกโปรแกรมของซัพพลายเออร์หลัก และซัพพลายเออร์เชิงกลยุทธ์ออกจากกัน และมีกระบวนการที่เป็นทางการเพื่อสนับสนุนการริเริ่มทางนวัตกรรม ส่วนสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้นำด้านการจัดซื้อมีการดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้เมื่อจัดการความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์น้อยกว่าร้อยละ 5

พันธมิตรทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ขั้นสูง กลยุทธ์ด้านบุคลากร

ทีมงานงานจัดซื้อชั้นนำได้รับและรักษาสถานะของพวกเขาในฐานะหุ้นส่วนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่ทำงานสอดรับกับหัวหน้าผู้บริหารฝ่ายการเงิน และทำงานร่วมกับหน่วยธุรกิจต่างๆ เพื่อผลักดันคุณค่าและระบุแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่นอกเหนือจากการลดต้นทุนปกติ

เอ.ที. เคอร์นี่รายงานว่า ร้อยละ 25 ของโครงการจัดซื้อขององค์กรที่ไม่ใช่ผู้นำไม่่ได้มองว่าตนเองเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเชิง

กลยุทธ์ และมีเพียงร้อยละ 17 กล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาอย่างน้อยกว่าสองในสามมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมเชิงกลยุทธ์เมื่อเทียบกับผู้นำด้านการจัดซื้อที่มีมากกว่าถึงร้อยละ 80

การวิเคราะห์ขั้นสูงซึ่งเป็นหัวข้อสนทนาที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาลทั่วทั้งธุรกิจนั้น เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ของการลงทุนสำหรับทีมจัดซื้อขององค์กรชั้นนำ แต่มีเพียงร้อยละ 40 ของฝ่ายจัดซื้อขององค์กรที่ไม่ได้เป็นองค์กรชั้นนำซึ่งโดยปกติจะจำกัดการวิเคราะห์เฉพาะในเรื่องของการใช้จ่ายเท่านั้น

และในตลาดที่มีการแข่งขันสูง สำหรับผู้มีความสามารถที่ดีที่สุดนั้น ร้อยละ 80 ของผู้นำด้านการจัดซื้อมีกลยุทธ์เชิงรุกสำหรับการสรรหาทั้งภายในและภายนอกเมื่อเทียบกับเพียงร้อยละ 40 ของธุรกิจอื่นๆ ที่โดดเด่นที่สุดเพียงร้อยละ 5 ของทีมจัดซื้อที่ไม่ได้อยู่ในองค์กรชั้นนำ ที่ได้จัดทำโครงการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับพนักงานของพวกเขาเปรียบเทียบกับผู้นำด้านการจัดซื้อที่มีมากกว่าร้อยละ 80